"เสริมคาง" เป็นศัลยกรรมอันดับต้นๆ สำหรับคนไข้ที่อยากทำศัลยกรรมหน้าเรียว สิ่งที่สำคัญกว่าการทำคางหรือเสริมคางคือ สัดส่วนที่พอดีระหว่างคางและใบหน้าส่วนอื่นๆ โดยหลักพิจารณาใบหน้าด้วยกัน 3 องค์ประกอบ คือ โหนก กราม และคางเดิม กรณีที่คนไข้กังวลส่วนใดส่วนหนึ่ง คุณหมอจะพิจารณาร่วมกับโหนกและกรามด้วย เพื่อให้ใบหน้าออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด
การทำศัลยกรรมเสริมคางตามโรงพยาบาลหรือคลินิกทั่วไปในทุกวันนี้ พบว่ามีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี คือ "วิธีแรกฉีดไขมันที่คาง" หรือใช้สารฟิลเลอร์ แต่วิธีนี้จะไม่คงอยู่ถาวร เพราะไขมันและสารฟิลเลอร์จะค่อยๆ สลายไปเองภายใน 3-5 ปี
"ส่วนวิธีที่สอง" เสริมคางด้วยซิลิโคน จะเป็นการผ่าตัดเล็ก โดยใช้ซิลิโคนชนิดเดียวกันกับที่ใช้ในการเสริมจมูก มาเหลาปรับทรงตามความเหมาะสม จากนั้นนำมาใส่บริเวณคาง ซึ่งการเสริมคางด้วยซิลิโคนนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
1. การเสริมคางจากด้านนอกช่องปาก (แผลนอก)
การผ่าตัดศัลยกรรมเสริมคางจากด้านนอกช่องปาก เป็นการผ่าตัดเปิดแผลบริเวณใต้คาง ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร โดยแพทย์หรือหมอสามารถปรับรูปคางได้หลายองศา และสามารถวางตำแหน่งซิลิโคนได้แม่นยำ ชัดเจน รวมถึงยังสามารถตกแต่งผิวหนังส่วนเกินใต้คางได้ ลดโอกาสในการบิดเบี้ยวเอียงได้ดีขึ้น
ข้อดีของการเสริมคางแบบแผลนอกปาก คือ ดูแลค่อนข้างง่าย แผลมีขนาดเล็ก บวมน้อย พักฟื้นไม่นาน แต่อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นได้ ซึ่งต้องใช้เวลา 1-3 เดือนกว่ารอยแผลเป็นจะหายเอง แต่สามารถทายาลดรอยแผลเป็นร่วมด้วยก็จะช่วยให้แผลเป็นหายเร็วขึ้น
2. การเสริมคางจากด้านในช่องปาก (แผลใน)
วิธีนี้เป็นการผ่าตัดเปิดแผลด้านในช่องปาก ตรงบริเวณเหงือกด้านในกับริมฝีปากล่าง ให้มีความยาวประมาณ 2 เซนติเมตร (แล้วแต่ขนาดซิลิโคน) จากนั้นศัลยแพทย์จะผ่าแยกเยื่อหุ้มบริเวณขอบล่างของคางออก แล้วจึงวางแท่งซิลิโคนเข้าไปให้พอดีกับตำแหน่งที่ต้องการ หลังจากนั้นก็เย็บปิดแผลด้วยไหมละลาย
วิธีเสริมคางแบบแผลในปากเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสูง เพราะไม่ทำให้เห็นแผลเป็นภายนอก เหมาะกับคนที่มีแผลเป็นนูนง่าย (คีลอยด์) แต่หลังการผ่าตัดต้องดูแลแผลในปากเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อจากน้ำลายหรือเศษอาหาร และควรระมัดระวังไม่ให้คางกระแทกจนซิลิโคนเคลื่อนผิดตำแหน่ง
“เสริมคาง” อีกหนึ่งความงามบนใบหน้า ที่ปรับรูปหน้าให้เรียวมี V shape และดูมีมิติมากขึ้น
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Tel: 02-051-9161, 088-245-6111, 091-874-0363